Welcome To Blog Translation การแปล 1 By Massalin Saelee 5681114028

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559



The Passive

          การเรียนภาษาอังกฤษมาพร้อมกับปัญหาหรืออุปสรรคหลายประการ และผู้เรียนทุกคนจะต้องค้นหาปัญหาเหล่านี้ เพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ สำหรับดิฉันภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษจะเป็นอะไรที่ห่างไกลมากสำหรับฉัน เนื่องจากมีรูปแบบที่ผิดไปจากภาษาไทยที่ใช้อยู่ทุกวัน ไวยากรณ์เป็นหลักการของทุกภาษา แต่ไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษนั้นยากมากสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษานี้เป็นภาษาแม่ ไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษนั้นมีความแปลกและแตกต่างจากภาษาไทย มีการเรียงลำดับคำที่แตกต่างกัน ไวยากรณ์ของภาษาไทยแตกต่างจากภาษาอังกฤษโดยสิ้นเชิง ฉันใช้ไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาไทย ซึ่งทำให้ผู้ฟังฟังฉันสิ่งที่ฉันพูดไม่รู้เรื่อเนื่องจากใช้ไวยากรณ์ ทั้งนี้นอกจากภาษาอังกฤษจะมีเรื่องราวที่ค่อนข้างซับซ้อนแล้ว กฎและข้อยกเว้นต่างๆของหลักไวยากรณ์ยังมีมากมายซึ่งในบางกรณีกฎการใช้หลักภาษาอังกฤษยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ซ้ำว่าทำไม ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมามากมายเช่นนี้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการศึกษาด้านภาษาอังกฤษ จึงจำเป็นที่จะต้องยอมรับและพยายามทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพิ่มศักยภาพที่ดีสมบูรณ์ของการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งดิฉันกำลังจะกล่าวถึงการเปลี่ยนประโยค Active มาเป็น Passive นั่นเอง

          Active Voice คือ รูปของกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำโดยตรง
          Passive Voice คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้น โดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
กริยา ที่จะทำเป็นประโยค Passive Voice ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า Transitive Verb คือกริยาที่ต้องการ
กรรมมารับ
หลักทั่วไปในการเปลี่ยนประโยค Active Voice ให้เป็นประโยค Passive Voice
 1. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมในประโยค Passive Voice โดยมี preposition "by" นำหน้า
 2. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice
 3. กริยาของประโยค Active Voice นั้น เมื่อนำมาใช้ในประโยค Passive Voice จะต้องเป็นรูปกริยาช่อ(Past Participle) และใช้ตามหลัง verb to be คือ is, am , are, was , were, be, being, been ซึ่งจะใช้ Verb to be ตัวใดนั้นต้องดู tense
Forming the Passive Voice

Tense
Form
1. Present Simple
 is, am, are + V3
2. Present Continuous
is, am, are + being + V3
3. Present Perfect
has, have + been + V3 
4. Past Simple
was, were + V3
5. Past Continuous
was , were + being + V3
6. Past Perfect
had + been + V3
7. Future Simple
will + be + V3
8. "going to" future
is, am, are +going to + be + V3
9. Future Continuous
will be + being + V3.
10. Future Perfect
will have + been + V3

          ประโยคแต่ละรูปแบบมีความยากง่ายและการใช้ที่แตกต่างกันทั้งยังมีข้อจำกัดมากมายที่เราจะต้องจำได้ และยังมีคำเชื่อมต่างๆในประโยคที่มีความซับซ้อนที่เราจะต้องจำความหมายคำเชื่อมเหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจำเป็นจะต้องฝึกอ่านบทความ หนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร และสื่อต่างๆไว้ให้มาก เพื่อเราจะได้เห็นประโยคในรูปแบบต่างๆและสามารถวิเคราะห์ประโยคได้ว่าเป็นประโยคประเภทไหน จุดเด่นของประโยคประเภทนั้นอยู่ตรงไหน เพื่อจะได้มีความเข้าใจมากขึ้นและจะได้ไม่ลืมเรื่องรูปแบบของประโยคต่างๆที่ได้ศึกษามา และยังรวมไปถึงการฝึกแปลความหมายของบทอ่านต่างๆที่เราได้อ่านด้วย เพื่อจะช่วยพัฒนาทักษะการแปลความไปด้วยเลย นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องฝึกเขียนประโยคต่างๆบ่อยๆเช่นกัน เพื่อทดสอบและประเมินตัวเองว่าจากการที่เราได้ศึกษาเรื่องประโยคมาแล้วนั้น เรามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด สามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องหรือไม่ และผู้รับสารสามารถเข้าใจเราได้หรือไม่
การเรียนภาษาอังกฤษ ช่วยเพิ่มการประสิทธิภาพการทำงานของสมองเราผ่านการ เรียนรู้ที่จะจดจำ แปลความหมาย และการสื่อสารในภาษาใหม่ๆ  ผู้ที่เรียนรู้หลายภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก จะพบกับการที่ต้องสับเปลี่ยนระบบการพูด การเขียน และลักษณะโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกันในแต่ละภาษา ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าการที่สมองต้องสับเปลี่ยนการทำงานในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆนั้นจะช่วยให้ทำงานหลายๆอย่างพร้อมๆกันได้ดีขึ้น อีกทั้งยังรับรู้สถานการณ์ต่างๆรอบๆตัวได้ดีขึ้น   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น