การฝึกพัฒนาทักษะ...นอกห้องเรียน
25/08/2015
ฝึกการฟังจากบทสนทนาง่ายๆ
เราทุกคนรู้ว่าทุกภาษามีอยู่
4 ทักษะ คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และถ้าเป็นการเรียนภาษาแม่อย่างคนไทยเรียนภาษาไทย
เราก็จะฝึกทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน คนไทยทุกคนจึงฟัง-พูด-อ่าน-เขียน
ภาษาไทยได้แม้ว่าจะเก่งไม่เท่ากันก็ตาม ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษที่เรากำลังพูดกันอยู่นี่นี้
ก็ ในแต่ละทักษะ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน นี้คนเรา นี้มีโอกาสฝึกแต่ละทักษะไม่เท่ากัน
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน
ทักษะภาษาอังกฤษที่สำคัญที่สุดคือ “ความคล่อง”
ในการพูดภาษาอังกฤษถือเป็นเป้าหมายอันดับ 1
ของคนไทย ความคล่อง (Fluency) คือการที่เราสามารถพูด
และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
โดยที่ไม่ต้องมานั่งแปลทีละคำนั่นเอง
ความคล่องคือการที่เราสามารถพูดกับเจ้าของภาษาได้ โดยเราเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
และตัวเค้าเองก็ฟังเราเข้าใจกุญแจสำคัญคือการฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษจะช่วยให้เราทำความคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา
นอกจากนี้เราจะได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆไปด้วย
สิ่งนี้หาได้ยากมากตามหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ
การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษด้วยตนเองจะเปิดโอกาสให้เราฝึกพูดตามไปด้วย
ต่างจากการดูหนังภาษาอังกฤษที่อาจมีการใช้คำยากๆ
ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด พจนานุกรม
ตีความหมายเอาเอง การที่จะเก่งภาษาอังกฤษให้ได้เราต้องฟัง “อย่างเข้าใจ”
และ “อย่างต่อเนื่อง”
ฟังอย่างเข้าใจ
–
ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เรียนรู้อะไรเลย
นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมดูข่าวภาษาอังกฤษมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเลย
เราไม่เข้าใจเพราะมันเร็วและยากเกินไปไงล่ะ
ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ยากที่จะเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดได้หลายคนพยายามฝืน
ฝึกฟังภาษาอังกฤษที่ยากและซับซ้อน ทำให้พัฒนาได้ช้าพอสมควร ดังนั้นหลักการสำคัญคือ
เริ่มฝึกจาก ง่าย ไปสู่ ยาก . ต้องมีวินัยในการฝึก พยายามทำทุกวันให้ได้อย่างน้อยวันละ
1-2 ทำวันเว้นวันสุดท้ายเราอาจล้มเลิกโดยไม่รู้ตัว
ฟังอย่างต่อเนื่อง
–
แค่เข้าใจไม่พอ แต่ต้องฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องด้วย
ถ้าเราได้ยินศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่แค่ครั้งเดียว ต้องลืมแน่ๆ ถึงฟังไป 5-10 ครั้งก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี
มันต้องผ่านหูนับครั้งไม่ถ้วนกว่าเราจะซึมซับจดจำ
และเข้าใจได้ในทันทีที่ได้ยินอย่าว่าแต่ฟัง 10 ครั้งเลย
ถ้าอยากเก่งจริงๆก็ต้องฟังอย่างน้อย 50-100 ครั้งกว่าเราจะเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ทันทีที่เห็น
วิธีการฝึก
1. ฝึก ฟังจากเทป บทสนทนาภาษาอังกฤษ
ซึ่งบทสนทนานั้นจะต้องพูดด้วยความเร็วปกติที่ชาวต่างชาติ พูด
อย่าฝึกฟังจากเทปที่พูดช้ากว่าการพูดปกติของเขา เนื่องจากจะทำให้เราเคยชิน
กับการฟังภาษาอังกฤษ แบบที่พูดช้าๆ และเมื่อเจอชาวต่างชาติที่พูดด้วยอัตรา
ความเร็วปกติ เราก็ไม่เข้าใจเช่นเดิม
2. การฝึกฟังครั้งแรกๆ ควรเริ่มฟัง
ครั้งละ 5 - 10
ประโยค (อย่าฟังประโยคเยอะเกินไปจนไม่สามารถจะจำประโยคเหล่านั้นได้)
3. ขณะที่ฝึก ฟังภาษาอังกฤษ ต้องมี Script
เสมอ
4. ในการฝึกฟังแต่ละครั้ง
ต้องฟังให้ได้อย่างน้อย 4 รอบ คือ
- รอบที่ 1
ฟังพร้อม Script และหากเห็นว่าคำใดที่เราเคยออกเสียงไม่เหมือนเขา
หรือเราฟังไม่รู้เรื่องแม้จะมี Script
ให้หยุดเทป แล้วจดลงใน Script ว่า
เสียงที่เราได้ยินนั้นคืออะไร
- รอบที่ 2 และ 3 ออกเสียงตาม
- รอบที่ 4, 5, 6,
..... ลองฟังแบบหลับตา โดยไม่มี Script
5. ช่วงแรก
ขอให้ฝึกฟังประโยคเดิมๆ ด้วยวิธีข้างต้น สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
(ฝึกทุกวันได้ยิ่งดี) แล้วจึงค่อยๆเพิ่มจำนวนประโยคให้มากขึ้นเป็น 15-20 ประโยค ต่อการฝึกฟังแต่ละครั้ง
หากทำวิธีดังกล่าวข้างต้นอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากจะ ฟังภาษาอังกฤษ รู้เรื่องแล้ว ยังสามารถ พูดภาษาอังกฤษ
ได้โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
สาเหตุที่สำคัญคือ
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
กล่าวคือเราต้องพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อน และต้องฟังประโยคซ้ำๆ
หลายๆรอบจนขึ้นใจแล้วพูดตาม ออกเสียงตามให้เหมือนที่สุด
อาจไม่เข้าใจความหมาย หรือคำแปล
ไม่เป็นไรการฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด และพัฒนายากที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของคนไทยส่วนใหญ่
รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดของการเรียนภาษาอังกฤษ ของคนไทย หากเราลองนึกดูว่า แล้วภาษาไทยที่เราพูด,
อ่าน และเขียนได้ในปัจจุบัน นั้น
มีพื้นฐานมาจากอะไร หากไม่ใช่มาจากการฟัง
ฟังจนเข้าใจในสิ่งที่เราได้รับฟังมา
แล้วเลียนเสียงนั้น(คือการพูดตาม) จนพูดได้ หลังจากนั้น จึงเริ่มเรียนการเขียน แล้วจึงตามมาด้วยการอ่าน เช่นเดียวกัน หากเราได้ฟังภาษาอังกฤษ หลายๆรอบ บ่อยๆ
ซ้ำๆจนจำขึ้นใจแล้ว
เราจะพบว่าเราสามารถฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องและเข้าใจโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อีกด้วย สรุปวิธีเก่งภาษาอังกฤษแบบง่ายๆก็คือ
ต้องฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ และที่สำคัญต้องฝึกฟังอย่างต่อเนื่องด้วยนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นต้องให้เวลาไปกับการฝึกอย่างจริงจัง เพราะการเก่งภาษาอังกฤษมันไม่มีทางลัด
คนที่เก่งภาษาอังกฤษต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนอย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น