Welcome To Blog Translation การแปล 1 By Massalin Saelee 5681114028

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Learning Log
(11082015)
กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ



ปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก มีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระบบที่หลากหลายลักษณะ บางโรงเรียนมี โปรแกรมอินเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วนในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีข้อสมมุติว่า หากมีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาอื่น โดยใช้ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนจะยิ่งเก่งภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้นด้วย การเรียนภาษาอังกฤษมีความแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่นๆ ตรงทีว่าต้องมีสองด้านควบคู่กันไป คือ ความรู้และทักษะ ความรู้เป็นภาคทฤษฎี ส่วนทักษะนั้นเป็นภาคปฏิบัติ การเรียนแต่ภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติ ย่อมไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมาย คือ สามารถใช้ภาษาได้ นอกจากนี้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษยังมีการศึกษาจากช่องทางที่หลากหลาย ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนภาษาอังกฤษด้วย การเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ย่อมมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันมิใช่มีเหตุผลเดียว ตัวผู้เรียนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด ดังคำที่กล่าวว่า ภาษานั้นเรียนได้ แต่สอนไม่ได้เพราะคนส่วนใหญ่มัวมองแต่สิงอื่นนอกตัว ผู้เรียนภาษาอังกฤษจึงควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ ตัวผู้เรียนจำต้องเป็นฝ่ายหันกลับเข้ามาพัฒนาปัจจัยภายใน ด้วยการพึ่งตนเองให้มากที่สุด โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.       กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
2.       รู้จัก จัดเตรียม และแสวงหาแหล่งความรู้
3.       พัฒนากลยุทธ์การเรียน
4.       ลงมือปฏิบัติ

กลยุทธ์ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น 10 ประการ ได้แก่ ศึกษา ฝึกฝน สังเกต เลียนแบบ ดัดแปลง วิเคราะห์ ค้นคว้า ใช้งาน ปรับปรุง ซึ่งอาจอธิบายความได้ดังนี้
1.       การศึกษา  ด้านตัวภาษาโดยตรง มี 2 ด้าน คือ ศัพท์กับไวยากรณ์ นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้ว ยังมีความรู้ทางดาน ธรรมชาติของภาษา และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
2.       การฝึกฝน  ต้องมีสองด้านควบคู่กันไป คือ ความรู้และทักษะ การจะฝึกฝนให้ได้ผลจะต้องผ่านการควบคู่กัน ทั้ง ตา หู จมูก ปาก
3.       การสังเกต ผู้เรียนภาษาที่ดีต้องฝึกเป็นคนช่างสังเกต มีความละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบในการเรียนและการใช้ภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ใจในเรื่องใหญ่ๆ คือไวยากรณ คำศัพท์ และภาษสำเร็จรูป
4.       การจดจำ ความจำเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนรู้ทุกชนิด รวมทั้งการเรียนภาษาด้วย เพื่อให้จดจำถ้อยคำหรือข้อความจนสามารถเรียกกลับมาใช้ได้ดังใจต้องการ
5.       การเลียนแบบ แต่ละภาษาจะมีสัญนิยมของตน อันเป็นขอตกลงร่วมกันระหว่างคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน มิฉะนั้นจะสื่อสารกันมิได้เลย ด้วยเหตุนี้การเรียนภาษาจึงต้องอาศัยการเลียนแบบตลอดทุกขั้นตอนหรือว่าตลอดชีวิตก็ได้
6.       การดัดแปลง ต้องรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านไวยากรณ์ประกอบกับคำศัพท์และสำนวนโวหารต่างๆเป็นพื้นฐานสำคัญ
7.       การวิเคราะห์ การเรียนในระดับสูงขึ้นต้องอาศัยการวิเคราะห์เข้ามาเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอ่านการเขียน และการแปลภาษาวิชาการและภาษาวิชาชีพ การวิเคราะห์มีได้ใน 3 ระดับใหญ่ๆคือ ระดับศัพท์  ระดับไวยากรณ์ ระดับถ้อยความ
8.       การค้นคว้า ความรู้ที่มีอยู่ในตำรา แบบเรียน หรือสื่อการเรียนอื่นๆ ยังไม่เพียงพอ ผู้เรียนต้องค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพจนานุกรม ซึ่งให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์สารพัดด้าน
9.       การใช้งาน ควรใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง เพื่อทดสอบและตรวจสอบดูว่าความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้มาเพียงพอหรือไม่
10.   การปรับปรุง ผู้เรียนภาษาที่ดีต้องช่างสังเกตและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบกพร่องในด้นต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข และวัดความก้าวหน้าหรือพัฒนาการในการใช้ภาษาในด้านนั้นๆ
องค์ประกอบทั้งสิบของกลยุทธ์ในการเรียนภาษานี้มีความเกี่ยวเนื่องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องนำมาใช้อย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดผล
          จากเหตุหลและหลักการข้างต้นเป็นที่มาที่ทำให้ ดิฉันต้องการที่จะฝึกทักษะทางการพูดและการฟังภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เพราะขณะนี้ดิฉันศึกษาอยู่ สาขาภาษาอังกฤษ และทราบดีเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงจะต้องมี ซึ่งนั้นก็คือความสมารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ในระดับดีพอสมควร ดิฉันจึงอ้างจากหลักการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวช่วยพัฒนา ทักษะทางด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ว่าจะต้องฝึกจาก ง่ายไปหายากดิฉันจึงได้ไปสืบค้นวิธีการมาจากอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นตัวช่วยพัฒนาทักษะที่สำคัญ เนื่องด้วยดิฉันเป็นคนที่ชอบดูหนัง ดิฉันจึงเลือกวิธีการฝึกจากการดูหนัง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. เลือกหนังมาหนึ่งเรื่อง หรือซีรี่ย์มาหนึ่งตอน
2.     2. ดูแบบปกติ Soundtrack มีซับภาษาไทย 1 รอบ ดูเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างดูนอกจากเปิดตาเพื่ออ่านซับแล้ว ต้องเปิดหูให้มากขึ้น ลองพยายามฟังแล้วจับใจความว่าตัวละครพูดอะไร
3.     3.หลังจากที่เราเข้าใจเรื่องราวแล้ว ดูขั้นที่ 2 จะเป็นการดูหนังโดยดูแบบ Sub English จะเน้นการฟัง ตาจ้องที่ปากของตัวละคร อย่าไปจดจ้องที่ซับ เพราะเราจะฝึกฟัง ไม่ได้ฝึกอ่าน
4.    4. พยายามฟังให้รู้ว่าตัวละครพูดว่าอะไร ถ้าฟังไม่ออกจริงๆ ค่อยเหลือบตาดูซับ English ด้านล่างบ้าง
5.    5 พอดูจบก็ดูซ้ำ แบบ Sub English เหมือนเดิมเลย ตาจับจ้องที่ปาก ตั้งใจฟัง ตรงไหนที่รอบที่แล้วฟังไม่ทัน ไม่รู้ว่าพูดอะไรก็พยายามฟังมากขึ้นถ้าดูไม่ทัน ก็เหลือบมาดูซับได้บ้าง
6.     6.หัวใจของขั้นตอนนี้คือ คุณต้องดูซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าคุณจะฟังรู้เรื่องทั้งหมด แบบ 100%”
จากวิธีการนี้ ดิฉันมีความตั้งใจที่จะทำตามขั้นตอนเหล่านี้ เพื่อฝึกทักษะการการพูด และการฟังภาษาอังกฤษจากการดูหนังให้ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน

          การเรียนภาษาอังกฤษ ช่วยเพิ่มการประสิทธิภาพการทำงานของสมองเราผ่านการ เรียนรู้ที่จะจดจำ แปลความหมาย และการสื่อสารในภาษาใหม่ๆ  ผู้ที่เรียนรู้หลายภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก จะพบกับการที่ต้องสับเปลี่ยนระบบการพูด การเขียน และลักษณะโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกันในแต่ละภาษา ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าการที่สมองต้องสับเปลี่ยนการทำงานในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆนั้นจะช่วยให้ทำงานหลายๆอย่างพร้อมๆกันได้ดีขึ้น อีกทั้งยังรับรู้สถานการณ์ต่างๆรอบๆตัวได้ดีขึ้น   การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศนั้นช่วยเพิ่มความจำ เพราะในการเรียนภาษาต่างประเทศผู้เรียนจำเป็นที่จะต้องจำหลักภาษา และคำศัพท์ใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาสมองทำให้มีความจำที่ดีขึ้น เช่นการ เรียนภาษาอังกฤษ ผู้เรียนก็ต้องจำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ และวิธีใช้ศัพท์เหล่านั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้หลักภาษา โครงสร้างประโยค และการเชื่อมคำพูด ในแต่ละภาษา ดังนั้นการ เรียนภาษาอังกฤษ จะช่วยให้เราสามารถใช้ภาษาของเราได้ดีขึ้นไปด้วยนั่นเอง
         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น